วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กรดไขมันอิสระในน้ำมันพืชใช้แล้ว (FFA) มีความสำคัญอย่างไร

                เมื่อกล่าวถึงคำว่ากรดไขมันอิสระหรือ FFA ย่อมาจาก Free Fatty Acid หลายๆคนอาจจะไม่รู้จักและไม่เข้าใจว่า มันมีความสำคัญหรือมันเกี่ยวอะไรกับน้ำมันพืชใช้แล้ว?

               ผมขอพูดแบบให้เข้าใจกันง่ายๆ แบบไม่วิชาการนะครับ ว่า ปกติแล้วน้ำมันพืชใช้แล้วหรือน้ำมันที่ทอดแล้วส่วนใหญ่จะถูกนำมากำจัดให้ถูกวิธีโดยการนำมาทำเป็นพลังงานทดแทน หรือพูดง่ายๆ คือ 
ไบโอดีเซลที่หุ้นหูนี่แหละครับ เพราะฉะนั้น  น้ำมันที่จะนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ในการทำปฏิกิริยาเคมี ซึ่งคุณสมบัติที่เหมาะสมของน้ำมันพืชใช้แล้วที่จะนำมาผลิตไบโอดีเซลนั้น ทดสอบด้วยค่าความเป็นกรด เรียกว่ากรดไขมันอิสระ ไม่ควรเกิน 3 % ส่วนวิธีการผลิตเราจะไม่พูดถึงในส่วนนี้นะครับ
              สรุปง่ายๆ คือ กรดไขมันอิสระคือ ตัวกำหนดคุณภาพน้ำมันที่ทอดแล้วนั่นเอง ซึ่งค่าความเป็นกรดไขมันอิสระนี้ ยังเป็นตัวกำหนดราคาในตลาดซื้อขายน้ำมันพืชใช้แล้วอีกด้วย ซึ่งน้ำมันพืชที่ใช้แล้วที่มีค่า FFA ต่ำย่อมมีราคาที่ดีกว่า ค่า FFA สูง และเรามีวิธีการหาค่ากรดไขมันอิสระแบบง่ายๆ แล้วเราสามารถ หาซื้ออุปกรณ์มาทดสอบได้ด้วยตัวเอง ดังนี้ครับ





วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยกระดับจากผู้ซื้อมือใหม่..สู่ก้าวที่สองของผู้ซื้อน้ำมันพืชเก่า

จากก้าวแรก..สู่ก้าวที่สองของการซื้อขายน้ำมันพืชเก่า(ระดับที่2)

          หลังจากที่เราเริ่มมีประสบการณ์ จากการซื้อขายน้ำมันพืชเก่าจากผู้เริ่มต้น ซึ่งเน้นในเรื่องการซื้อมาขายไป เนื่องด้วยเราพึ่งเข้ามาในตลาดใหม่ๆ ยังไม่มีลูกค้ามากนักและยังต้องแข่งขันกับรายอื่นที่อยู่ในตลาดอยู่ก่อนแล้ว และรู้ถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และเริ่มมีลูกค้าประจำกันบ้างแล้ว คราวนี้เราจะเริ่มก้าวสู่อีกขั้นหนึ่งกันนะครับ
          เริ่มต้นเลย..สิ่งที่เราต้องมีอันดับแรกเลย..คือเงินทุนครับ
เนื่องจากในลำดับที่ 2 นี้เราจะเริ่มเก็บสะสมให้ได้ในปริมาณหนึ่งแล้วค่อยนำมาขายครับ ซึ่งต้องใช้เงินทุนเพิ่มมาอีกหน่อย ประมาณ 3-5หมื่นบาท (ในช่วงเริ่มต้น อาจไม่ต้องใช้เงินทุนถึงระดับนี้ก็ได้ เนื่องจากเน้นการซื้อมาขายไปมากกว่า )และที่เห็นอยู่บ่อยและเป็นที่นิยม คือ การซื้อน้ำมันพืชเก่ามา แล้วนำมาเทรวมกันใส่ถัง 1000 ลิตร (กรองกากด้วย) แล้วใส่รถปิคอัพไปส่งโรงงานรับซื้ออีกที

ข้อดี คือ

           -ได้ราคาดีขึ้น เนื่องจากส่งเป็นปริมาณเยอะขึ้น และผู้ซื้อคำนวณต้นทุนได้ชัดเจน เพราะได้แต่เนื้อน้ำมัน ไม่มีกาก และน้ำปน
           -เราจะได้เหลือปี๊ปจากการเทน้ำมันออก ใบใหม่ๆ ก็สามารถขายได้ ส่วนใบเก่าก็ไว้ให้ลูกค้าใส่น้ำมัน ในกรณีลูกค้าไม่มีปี๊ป (ลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่ใช้เป็นขวดลิตร หรือถุง และกล่อง)

ข้อเสีย คือ

           -ใช้เงินทุนเพิ่มขึ้น (แต่ก็คุ้มในระยะยาวและเป็นแนวทางในการเติบโตในอนาคต)

          สิ่งที่ต้องมีเพิ่มเติมในระดับนี้คือ ถัง 1000 ลิตร 2 ใบเป็นอย่างต่ำ เพื่อใส่น้ำมันพืชเก่า(ดังรูป)

รูปถัง 1000 ลิตร

          เพียงแค่นี้เราก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้วครับ ซึ่งการเลือกรูปแบบการดำเนินธุรกิจ จะเป็นแบบไหน หรือระดับไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจและความเหมาะสมของผู้ดำเนินการแต่ละคนนะครับ อาจจะไม่ใช่ตามแบบนี้เป๊ะ
          แต่เท่าที่เห็นมา จึงนำมาจำแนกรูปแบบวิธีการซื้อขายน้ำมันพืชเก่าให้เห็นภาพกันคร่าวๆ เท่านั้นครับ(เล่าสู่กันฟัง)
          โอกาสหน้าจะมาเล่าถึงการซื้อขายน้ำมันพืชเก่าในระดับต่อไปครับ..