วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สถานะการณ์ซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่าล่าสุด

สถานะการณ์ราคาซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่าล่าสุด

               จากสถานะการณ์ด้านราคาของน้ำมันพืชเก่า ที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากปริมาณผลผลิตปาล์มที่ออกมามาก ในเดือนตุลาคมและปริมาณปาล์มคงเหลือในสต็อกบวกกับการนำเข้าปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดของรัฐบาล
               และในปัจจุบันราคาซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า ได้เริ่มอยู่ตัว แต่ถึงอย่างไรก็ดีปริมาณน้ำมันพืชเก่าที่โรงงานต่าง ๆ รับซื้อก็ยังมีมากอยู่ดี จนแทบจะไม่มีที่เก็บ ถึงแม้จะเร่งระบายสินค้าออกอย่างต่อเนื่องแต่ปริมาณน้ำมันพืชเก่าที่เข้ามายังโรงงานต่างๆ ก็มากด้วย  ซึ่งอาจจะทำให้ ราคาปรับลดลงอีกนิดหน่อยได้เช่นกัน ทำให้ประมาณการณ์ได้ยากว่าราคาจะเริ่มดีขึ้นเมื่อไร เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณสต๊อกของแต่ละโรงงานด้วย รวมทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านอื่นๆอีกด้วย ผู้ค้าหรือตัวแทนรับซื้อน้ำมันพืชเก่าจึงต้องหมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
               และผู้เขียนเองก็ได้คิดค้นวิธีการที่จะทำให้ ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องการซื้อ- ขายน้ำมันพืชเก่าได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วขึ้น โดยการเปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับการซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดูรายละเอียด พูดคุย สอบถาม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เปิดให้บริการแล้ววันนี้...












วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาและสิ่งที่เกิดขึ้นในการซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า


         จริงๆแล้วผู้เขียนไม่บังอาจที่จะตั้งตัวเป็นกูรู ด้านการซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า นะครับ เพียงแต่ว่า ผู้เขียนได้นำประสบการณ์ที่เคยเจอ  และเกิดขึ้นมาบอกเล่าสู่กันฟังมากกว่า  สำหรับผู้ที่สนใจ หรือแม้กระทั่งคนที่เคยทำอาชีพนี้กันมาบ้างแล้ว ก็คงเคยเจอมาบ้างเหมืิอนกัน   

            ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่มักพบบ่อยมีอยู่ 2 หัวข้อใหญ่ๆด้วยกันครับ คือ (ผมจะพูดในกรณีผู้ซื้อนะครับ)

1.  ปัญหาด้านราคา  ซึ่งก็แบ่งออกเป็น 2 ช่วงได้แก่
             1.1  ช่วงราคาขึ้น เป็นช่วงที่มีการซื้อง่าย ขายคล่อง และมักมีการแข่งขันกันด้านราคาสูงมาก พูดง่ายๆ คือแข่งกันให้ราคา จนบางครั้้งราคามักจะสูงเกินความเป็นจริง  แทบจะไม่มีกำไรกันเลย ตอนนี้คนที่มีอำนาจต่อรอง คือผู้ขาย คำพูดที่เจอบ่อยคือ ซื้อราคาแค่นี้เองหรือ คนนั้นเค้าซื้อตั้ง เท่านั้น เท่านี้
พอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ผู้ซื้อก็บ้าจี้เหมือนกันนะครับ ไม่ได้..ราคาเราต่ำกว่าเขาไม่ได้ เป็นไงเป็นกัน ขอให้ได้ของเป็นพอ ขาดทุนไม่กลัวอยู่แล้ว (นี่ไม่ได้พูดประชดนะครับ มันเป็นจริงๆ)
             1.2  ช่วงราคาลง เป็นช่วงที่ขายยาก ซื้อก็ยากด้วย เนื่องจากว่า  ตอนราคาลงทางโรงงานเองก็มีน้ำมันพืชเก่ามากอยู่แล้ว จนจะเต็มที่เก็บ  ส่วนคนขาย( พ่อค้าคนกลาง หรือผู้รับซื้อรายย่อย )  ก็ต้องรีบขายออก เพราะกลัวขาดทุนมาก คนที่ขายไม่ทันก็ขาดทุนกันไป เผลอๆ ทางโรงงานไม่อยากรับซื้อด้วยซ้ำ เพราะราคากำลังปรับลดลงก็ไม่อยากซื้อแพง ไว้ซื้อตอนราคาลดลงแล้วดีกว่า ยกเว้นขาประจำกันจริง ๆโรงงานถึงจะรับซื้อไว้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันในยามยาก 
                    ส่วนพ่อค้า แม่ค้า ตามท้องตลาด พอราคาลดลงหน่อยก็เริ่มไม่อยากจะขาย เพราะคิดว่า เคยได้ราคาดีแล้วพอราคาลดลงก็รับไม่ได้ (เสียดาย ) แต่ก็มีส่วนน้อยนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ คนค้าขายเขาเข้าใจภาวะตลาดดี เพราะของก็ต้องมีขึ้น-มีลง เป็นธรรมดา 

                    " พูดกันตรงๆ ในฐานะ คนซื้อน้ำมันพืชเก่า ถ้าราคาไม่ลดลงจริง ๆ ไม่มีผู้ซื้อรายไหนหรอกครับ ที่จะไปลดราคาลงมาเอง เพราะเค้าก็กลัวถูกแย่งลูกค้าเหมือนกัน มันก็อยู่กับภาวะตลาด เพราะเราไม่ได้ซื้ออยู่คนเดียว คนอื่นๆ เขาก็ซื้อเหมือนกัน ถ้าเราลง คนอื่นไม่ลงเราก็เสียซิ   เมื่อราคาลดลงคนอื่นก็ต้องลดตามกัน  เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลข่าวสารของใครไวกว่ากัน  คนที่ลงไวก็ขาดทุนน้อยหน่อย  ส่วนคนที่ยังไม่รู้เรื่องก็ขาดทุนเยอะหน่อยเท่านั้นเอง "

                    ถ้าจะมองแล้วก็ดีอีกแบบนึง ไม่ใช่เป็นข้อเสียเลยทีเดียว ที่พ่อค้า แม่ค้า ตามท้องตลาดยังไม่ยอมขาย น้ำมันพืชเก่า เขาจะได้ช่วยเก็บไว้ให้เรา ไว้ราคาขึ้นเราค่อยมาซื้อทีเดียว ได้ของเยอะดี อีกอย่างนึง เราไม่ต้องลงทุนเลย ไม่เสี่ยงด้วย 
                   และที่ดีที่สุดคือ การช่วยกันเก็บไว้ ปริมาณสินค้าก็เข้าโรงงานน้อยลง ทำให้โรงงานได้ระบายสินค้าคงคลังออก พอสินค้าเริ่มลดลง โรงงานก็ขายได้ราคาดี โรงงานก็จะเปิดรับซื้อราคาดีขึ้นมาเอง เป็นไปตามกลไกลตลาดเป๊ะเลย..แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านนะครับ นอกจากดีมานด์และซับพลายแล้ว ยังมีปัจจัยด้านการแทรกแซงอื่นอีก ซึ่งก็ต้องอาศัยการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
                     สรุปแล้วคือ ผู้ขาย พ่อค้า แม่ค้า ก็มีสิทธิเลือกอยู่ดีครับ ว่าจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ

2.  ปัญหาด้านระยะทางหรือการขนส่ง  

                     ซึ่งในส่วนนี้เป็นปัญหาอย่างมากเลยครับ ของจังหวัดที่ห่างไกล เช่น ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ จะมีปัญหาด้านการขนส่งมากโดยเฉพาะช่วงราคาลดลง เนื่องจากว่าเวลาเราวิ่งรถไปเก็บในจังหวัดไกล ๆ กว่าเราจะไปเก็บน้ำมันพืชเก่ากลับมา กว่าจะส่งเข้าโรงงาน ราคาก็ลงเรื่อย ๆ 
                      สรุปคือขาดทุนแน่นอน เพราะผู้ซื้อได้กำไรน้อยมาก เนื่องจากการแข่งขันกันเองของผู้ซื้อรายย่อย พอราคาลงนิดเดียว หักค่าขนส่งแล้วไม่เหลือกำไรเลย  เพราะฉะนั้นผู้ซื้อควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วย ในการเปิดราคารับซื้อ 
                      แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง พ่อค้า แม่ค้า และผู้รับซื้อน้ำมันพืชเก่า ต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน   ผู้ซื้อเองก็ต้องมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการไปรับซื้อและไปส่ง ส่วนผู้ขายเองก็ไม่ต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่าย ในการนำสินค้าไปส่งถึงโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อค้า แม่ค้า รายย่อยที่มีน้ำมันพืชเก่าไม่เยอะ  คงไม่คุ้มแน่ที่จะนำไปขายเองถึงกรุงเทพฯ 
                       ดังนั้นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย  ถ้ามีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ก็ถือว่าฝากสินค้าไปขาย เสียค่าบริการนิดหน่อย พอให้ผู้ซื้ออยู่ได้ สมดั่งสโลแกน " ผู้ซื้อก็ได้กำไร คนขายก็ได้ราคา " ปัญหาก็ไม่เกิดครับ

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สภาวะการณ์ราคาซื้อ-ขาย น้ำมันพืชเก่า น้ำมันพืชใช้แล้ว

                สภาวะการณ์ด้านราคา ซื้อ-ขาย น้ำมันพืชเก่า น้ำมันพืชใช้แล้ว นับจากเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
                เป็นผลมาจากผลผลิตปาล์มดิบ ที่ออกสู่ตลาดจำนวนมากในเดือนที่ผ่านมา รวมถึงการนำเข้า น้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 55ที่ผ่านมา จำนวน 30,000 ตัน และปัจจัยด้านวิกฤติเศรษฐกิจโลก จึงมีผลทำให้ราคาปาล์น้ำมันภายในประเทศตกต่ำ จากที่เกษตรกรสวนปาล์มขายได้ กก.ละ 6-7 บาท ตอนนี้เหลือประมาณ 3.20 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน คือ ประมาณ 3.80 บาืท ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันปาล์มไทยอยู่ที่ 24-25 บาท/กก. จาก ราค 35 บาท/กก.
                 จากสถานะการณ์ราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำนี้ เป็นกลไกลตลาด ซึ่งทำให้ราคาตกทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น เื่พื่อนบ้านเราราคาก็ตกเช่นกัน เช่น มาเลเซีย ราคาน้ำมันปาล์มอยู่ที่ 21-22 บาท/กก.
                 จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลต่อราคาน้ำมันพืชเก่า น้ำมันพืชใช้แล้วลดลงอย่างรวดเร็ว  เนื่องจาก การซื้อ-ขาย น้ำมันพืชเก่าก็ใช้ปัจจัยด้านราคาปาล์มน้ำมันเป็นตัวอ้างอิงด้วยเช่นกัน 
                  ดังนั้นผู้ค้าน้ำมันพืชเก่าทุกราย ควรสอบถามราคารับซื้อจากทางโรงงานก่อนออกไปรับซื้อน้ำมันพืชเก่าจากท้องตลาด เพื่อป้องกันสภาวะการณ์ขาดทุน...



สอบถามราคา ซื้อ-ขาย โทร. 081-8781972 ภูศิริ
อีเมล ; siri3.9g@gmail.com
http:// www.น้ำมันพืชเก่า.com
ที่มาข้อมูล ; สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิธีการซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า สำหรับผู้เริ่มต้น


สนใจในธุรกิจซื้อ-ขายน้ำมันพืชเก่า ควรทำอย่างไร เริ่มต้นอย่างไรดี?
กรณีที่เข้ามาทำธุรกิจเป็นครั้งแรก: สิ่งที่ต้องใช้ในการเริ่มต้นคือ
            -เงินทุนช่วงเริ่มต้นควรจะมีเงินทุนอยู่บ้าง แนะนำที่ 30,000-50,000 บาท
            -พาหนะในการไปจัดเก็บ เช่น รถยนต์ สามล้อพ่วง เป็นต้น
            -สถานที่ในการจัดเก็บสินค้า เช่นโรงเก็บหรือโรงรถก็ได้ ให้อยู่ในร่มไม่ตากฝน อาจจะไม่ต้องใหญ่มากก็ได้
            -อุปกรณ์ ที่ต้องใช้ในการรับซื้อ เช่น ท่อสายยางใส(ไว้สำหรับเช็คน้ำปน) ปี๊ปเปล่าสำหรับใส่น้ำมัน
กรวยสำหรับกรอกน้ำมันใส่ปี๊ป กระดาษหนังสือพิมพ์(ไว้อุดปากปี๊ปไม่ให้น้ำมันหก) ตาชั่ง 20 กก. ในกรณี
อาจต้องชั่ง(จะมีหรือไม่มีก็ได้)ดังรูปที่ 1 
รูปภาพที่ 1 




พาหนะสำหรับไปจัดเก็บน้ำมันพืชเก่า

น้ำมันพืชเก่าที่ถูกจัดเก็บไว้เป็นระเบียบ

รถบรรทุกขนาดเล็ก 2,000 กก.

รถบรรทุกขนาดกลาง 7,500 กก.

ถังสำหรับเก็บน้ำมันพืชเก่า ขนาดต่าง ๆ 

โรงงานสำหรับจัดเก็บน้ำมันพืชเก่า

โรงงานสำหรับจัดเก็บน้ำมันพืชเก่า

รถเตรียมไว้สำหรับบรรทุกน้ำมันพืชเก่า

เพียงแค่นี้ก็สามารถเริ่มธุรกิจได้แล้ว....
          เริ่มต้นอาจเริ่มจากการออกสำรวจ สอบถามตามร้านอาหาร ในตลาด เพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลการซื้อ-ขาย
ซึ่งแน่นอน อาจมีรายอื่นซื้ออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะทำให้เรารู้ข้อมูลเบื้องต้น เช่น ราคาที่เค้าซื้อกัน  ยึดถือเจ้าประจำหรือเปล่า มีปริมาณน้ำมันมากน้อยแค่ไหน ในแต่ละเดือน เราพอจะซื้อกับเขาได้ไหม เป็นต้น
วิธีการรับซื้อ:
การตรวจสอบน้ำปน
   ใช้ท่อยางหย่อนลงไปในปี๊ป แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือปิดปากท่อยางไว้แล้วดึงขึ้นมาดูว่ามีน้ำปนหรือเปล่า ดังภาพที่ 2 และ2/1
รูปภาพที่2
รูปภาพที่ 2/1
ถ้ามีน้ำปน น้ำและน้ำมันจะแยกกันอย่างชัดเจน คือน้ำมันจะอยู่ส่วนบน เนื่องจากมวลของน้ำมันจะเบากว่าน้ำ ทำให้ลอยอยู่เหนือน้ำ ส่วนที่เป็นน้ำปนจะอยู่ส่วนล่างดังรูปที่ 2และ 2/1

ข้อควรระวังคือ บางครั้งน้ำที่ปนนั้นอาจมีสีที่คล้ายกับน้ำมันมาก อาจจะไม่ใสเหมือนในรูปเสมอไป วิธีที่ดีคือ ยกสายยางมาปล่อยให้น้ำมันหยดบนหน้าปี๊ปเพื่อดูน้ำปนอีกที ถ้ามีน้ำปน น้ำจะวิ่งไหลเป็นเม็ด ๆ (ถ้าเจอบ่อยขึ้นก็จะรู้เทคนิคเองครับ)
ส่วนวิธีการแยกน้ำมี 2 วิธี ดังนี้
1     1.    ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์อุดปากปี๊ป แล้วจับค่ำปี๊ปลงเพื่อให้น้ำไหลลงมาอยู่ข้างล่างดังรูปที่ 3

แล้วค่อยๆ เปิดปากปี๊ปเล็กน้อยให้น้ำไหลออกมา จนกว่าจะเจอน้ำมันไหลออกมาค่อยหยุด
รูปภาพที่ 3




       2 .    ค่อยๆ เทเอาเฉพาะส่วนบนที่เป็นน้ำมันก่อน จนกว่าจะเริ่มมีน้ำไหลออกมาค่อยหยุด ดังรูปที่ 4
รูปภาพที่่่ 4
นี่ก็คือวิธีการคร่าว ๆในการเป็นผู้รับซื้อน้ำมันพืชเก่าเบื้องต้น หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่สนใจครับ...
            สำหรับวิธีการซื้อแบบผู้ซื้อขนาดกลางและเริ่มมีประการณ์มาบ้างแล้ว จะแนะนำในตอนต่อไปครับ...
หมายเหตุ; ส่วนราคาที่ท่านไปรับซื้อตามร้านอาหาร หรือตามท้องตลาดนั้น ขึ้น -ลง ตามราคาตลาดครับ ควรตรวจสอบกับโรงงานที่ท่านขายให้อีกทีครับ
               หรือ โทร. 081-8781972 ภูศิริ
             Email; siri3.9g@gmail.com
                    www.น้ำมันพืชเก่า.com